"ผมเห็น...อย่างที่ประติมากรคนหนึ่งจะเห็น ผลงานของเขาในแท่งหินอ่อนก่อนลงมือแกะสลักสกัดความลวงออกไป เหลือไว้เพียงความงาม"
-อุทิศ เหมะมูล-
…เรื่องเล่าของเมืองลับแลที่ถูกถ่ายทอดมาในอดีตคือเมืองหญิงม่ายที่พูดแต่ความจริง ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงตำนานเดียวกันนี้ซึ่งสอดคล้องกันกับที่ผมเคยได้ยินจากปากของแม่ตอนเด็กๆ (ตอนเด็กผมชอบให้แม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน) ผมได้ยินเรื่องนี้อีกที่จากเพื่อนคนหนึ่งที่อำเภอลับแล เมืองลับแลในปัจจุบันที่ผมเห็นคือเมืองแห่งสวนผลไม้โดยเฉพาะทุเรียนพันธ์หลงลับแลที่ราคาแพงลิบลิ่ว (แต่ผมได้กินฟรีตลอดเมื่อมีโอกาสได้ไปในช่วงเข้าพรรษา) ย้อนกลับไปถึงตำนานเมืองแม่ม่ายที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งพลัดหลงเข้าไป และพบรักกับผู้หญิงเมืองนี้จนมีลูกด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่งเขาไม่รักษาวาจาสัตย์เนื่องจากลูกแงงอร้องหิวนม เขาพลั้งปากพูดออกไปว่า “โน่นแน่ะ แม่มาแล้ว” ทั้งๆ ที่นางไม่ได้กลับมา เขาจึงถูกขับออกจากเมืองลับแล ก่อนออกจากหมู่บ้านนางให้ย่ามใบหนึ่งแก่เขาพร้อมกำชับว่าห้ามเปิดระหว่างทาง แต่ย่ามใบนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงสงสัยและเปิดออกดูเขาพบว่ามันเป็นเพียงขมิ้นสดซึ่งมีอยู่ทั่วๆ ไป เขาตัดสินใจเททิ้งและเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพียงแง่งเดียว เมื่อเขากลับมาถึงบ้านเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือทองคำแท่ง เขากลับเข้าไปอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถหาทางเข้าไปในหมู่บ้านได้อีก สำหรับผมในวัยนี้เรื่องนี้เป็นตำนานแห่งสัจจะที่เจ็บปวด เพราะการโกหกเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอะไรถ้าคำพูดนั้นมันไม่ได้ทำร้ายใคร...
...“ลับแล”ในหนังสือเป็นชื่อของ “ผม” ที่กำลังเล่าเรื่องราวชีวิตและต้นกำเนิดของเขาเอง คนๆ หนึ่งที่รับรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ซึ่งเป็นคนจีนอพยพและลงหลักปักฐานที่อำเภอลับแล พ่อของเขาเกิดที่นั้น ส่วนเขาและ “แก่งคอย” พี่ชายต่างมารดาเกิดที่เดียวกันคืออำเภอแก่งคอย เรื่องเล่าจากปากของ “ลับแล” ขณะที่เขาถูกแม่นำมาฝากไว้กับท่านเจ้าอาวาสที่วัดป่าแห่งหนึ่งเพราะนางเชื่อว่าเขาถูกผีเข้า คำลวงที่เกิดจากเรื่องเล่า เรื่องเล่าที่เกิดจากการสร้างตรรกะและเหตุผลของตนเอง มันเกิดจากความทรงจำและรอยประทับในใจของเด็กคนหนึ่งที่ฝังใจกับอดีตความเจ็บปวดที่เขาอยากจดจำมันในอีกรูปแบบหนึ่งที่คิดว่างดงามกว่ารู้สึกผิดน้อยกว่าบาปที่เขากระทำกับคนรอบข้างเพื่อปลอบประโลมจิตใจตัวเองให้รู้สึกสงบและมั่นคง เพราะความจริงอันน่าเกลียดมันไม่ได้มีคุณค่าใดๆ ต่อการจดจำเขาจึงโยนความจริงที่ว่าให้กับอีกคนหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อความจริงเผยตัวของมันเอง ทุกๆ คนทำได้เพียงรับรู้เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป ทุกๆ คนพร้อมที่จะฌาปนกิจมันไปพร้อมกับคนที่ตายไปแล้ว และกลบฝังเถ้าอังคารแห่งความลวงนั้น แล้วอยู่กับความจริงใหม่ ซึ่งนั้นก็คือชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาเองและแม่ผู้ที่เขาตระหนักว่าเขาต้องอยู่ต่อไป…
…หากชายในตำนานเขารู้เหมือนอย่างที่ลับแลได้เข้าถึงความจริงแห่งความงามของตรรกะใหม่ที่ “ลับแล” คนปัจจุบันค้นพบ โศกนาฏกรรมแห่งสัจจะคงไม่เกิดขึ้น ศาสตร์แห่งการตัดสินคุณค่าในอดีตที่มองความงามเป็นเพียงสังขารที่ไม่จีรังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า แล้วมันต่างอะไรกับความจริงบางอย่างที่มันไม่มีค่าให้เราจดจำ เหมือนกับประติมากรมองเห็นแท่งหินอ่อน ก่อนที่จะลงมือแกะสลักมันเป็นเพียงแค่หินแท่งเดียว วันเวลามีแต่จะกัดเซาะมันให้เสื่อมลง แล้วมันจะมีคุณค่าอะไรต่อการจดจำ หากเราเชื่อว่าความจริงที่เจ็บปวดนั้นต่างหากคือความลวง แล้วขจัดมันทิ้งไป แล้วลงมือสลักเสลาแท่งหินอ่อนก้อนนั้น มันจะหลงเหลือไว้เพียงความงามอันเป็นนิรันดร์ “ลับแล” จะไม่ปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตที่เหลืออยู่เหมือนชายในตำนานผู้นั้นที่ปล่อยให้คุณค่าของคำสัตย์จริงทำร้ายชีวิตของตัวเอง หากความงามเป็นสภาวะที่ซ่อนอยู่ในสิ่งงาม ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนงดงาม แม้กระทั่งความลวง ความจริง ความดี ความงาม มีขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ของมัน เช่นเดียวกันกับ ความลวง ความเลว ความอัปลักษณ์ ความรู้สึกถึงความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วของมันหาได้ทำให้คนเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญนั้นมันคืออะไรกันแน่ เพราะชีวิตมันมีทั้งจริงและลวง ดีและเลว อัปลักษณ์และงดงาม ยากที่จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน “ลับแล” ยังคงเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก เขาเพียงแค่เข้าถึงสัจจะอีกวิถีทางหนึ่ง วิถีที่นักหาที่ทางแห่งความสูญเสียค้นพบมันในอีกหนทางหนึ่ง หนทางที่สุขสงบและมั่นคง...
-อั๋นน้อย-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น