เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
Work like you don't need the money.Dance like no one is watching.Sing like no one is listening.Love like you've never been hurt.And live life every day as if it were your last.

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

"ตามหาชั่วชีวิต: ยิ่งแสวงหาสิ่งที่ค้นหายิ่งไกลออกไป"




...จำเป็นไหมที่คนจะชอบสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด หรือถนัดสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ บางคนค้นพบตั้งแต่เด็ก นับว่าคนๆ นั้นโชคดีไป แต่บางคนต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ตามหาชั่วชีวิต เป็นงานของนักเขียนสตรีท่านหนึ่งที่ทิ้งการเขียนหนังสือไปเกือบ 5 ปี เสาวรี ใช้เวลานั้นหมดไปกับการทำงานที่ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ มีความสุขและชื่นชมกับรายได้ที่ได้รับจนสูญเสียซึ่งพลังในการเขียนหนังสือ จวบจนได้รับกำลังใจและการเยียวยาจากคนรอบข้างให้กลับมาเขียนหนังสืออีกครั้ง ในบรรดาหนังสือที่ได้เข้ารอบ 9 เล่มมีผลงานของนักเขียนสตรีอยู่ 2 เรื่อง คือ ตามหาชั่วชีวิต กับ ปรารถนาแห่งแสงจันทร์ ทั้งสองเล่มเป็นผลงานที่โดดเด่นทางด้านการใช้ภาษา แม้ว่าเค้าโครงเรื่องหรือรูปแบบอาจจะไม่มีความแปลกใหม่และทันสมัยเท่ากับงานเขียนชิ้นอื่นๆ แต่ทั้งสองเล่มมีวรรณศิลป์ในการเรียงร้อยถ้อยคำได้อย่างน่าอ่าน แต่ว่ามุมมองแต่ละเรื่องของ เสาวรี นั้นค่อนไปทาง Feminist เล่าเรื่องราวของเพศหญิงที่ถูกกระทำโดยฝ่ายชายและตัวละครชายแทบทุกตัวมักจะไม่สมประกอบไม่ทางกายก็ทางจิตใจ ผู้เขียนคงอยากจะสะท้อนความจริงด้านมืดของอัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น ในสายตาของผม ตามหาชั่วชีวิต จึงเป็นงานเขียนของผู้หญิงเพื่อผู้หญิง...



... “สังข์ทอง” เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของหนังสือเล่มนี้ที่เล่าถึงพระสังข์ยุคโลกาภิวัฒณ์ที่แปลงร่างโดยการศัลยกรรม วัยรุ่นสมัยนี้ยึดติดกับความงามทางกายที่ฉาบฉวย ดูจากพฤติกรรมการประกวดร้องเพลงในสมัยนี้ที่มาตรฐานในการตัดสินใจจากคนกลุ่มหนึ่งเรียกกันว่าการ
Vote รักใครชอบใครก็ให้คะแนนไม่จำกัดจำนวนครั้งหรือจำนวนคนที่ถูก Vote ส่วนใหญ่แล้วคนที่ชนะมักจะมีรูปลักษณ์ที่เข้าตาคนส่วนใหญ่ แม้น้ำเสียงจะสู้คนที่แพ้ไม่ได้ก็ตาม แต่สังข์ทองไม่เคยได้โอกาสนั้นเพราะรูปกายที่อัปลักษณ์เหมือนกับตัวตลกชื่อเดียวกัน แม้เขาจะมีเสียงที่ดีหรือทรงพลังแค่ไหน ผู้คนก็ไม่เคยให้โอกาสจนกระทั่งเขาต้องศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดี สังข์ทองกับคนในสังคมก็ไม่แตกต่างกันทุกคนยังยึดติดกับรูปภายนอกจนลืมสิ่งงามภายใน จุดจบคือโศกนาฏกรรมของคนกลับไม่ได้ไปไม่ถึง “ตามหาชั่วชีวิต” คืออีกหนึ่งเรื่องสั้นในหนังสือชื่อเดียวกัน เรื่องราวที่ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง “สิทธารถะ” ของ Hermann Hesse สิ่งสูงสุดที่คนกำลังแสวงหามันอยู่ไม่ไกลตัวเรา ยิ่งแสวงหาสิ่งที่ค้นหายิ่งไกลออกไป สุดท้ายแล้วการเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันแล้วปล่อยวางนั้นคือสัจธรรมที่ผมได้หลังจากอ่านจบ...



...อีกสองเรื่องที่อยากแนะนำคือ “ภาพเขียนมรณะ” และ “นักเขียน” เรื่อง  “ภาพเขียนมรณะ” ถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวที่มีผู้ชายเป็นกำหนด พ่อผู้เป็นอัจฉริยะด้านการวาดภาพ ศิลปินผู้ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งพุทธะที่ตัวเองไม่เคยเข้าถึง ภาพเขียนที่สร้างรอยรักร้าวให้กับผู้เป็นแม่ที่อยู่ในโอวาสของเขาตลอดมา ภาพที่เขียนท่ามกลางราคะตัณหาและความเกลียดชังของแม่และลูกสาว แต่เขากลับหลงใหลรักไคร่จนสามารถเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องมัน “นักเขียน” เป็นเรื่องราวของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนเพราะได้แรงบันดาลใจจากนักเขียนข้างห้องที่พักในหอพักเดียวกัน เขาได้พบว่างานเขียนกับนักเขียนสิ่งไหนกันที่เขาจะต้องศรัทธา นักเขียนอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆวาดไว้ แต่สิ่งที่คนควรศรัทธาคือหนังสือหรืองานเขียนเพราะนั้นคือสิ่งที่เขาถ่ายทอด ศิลปินไม่ว่าจะแขนงไหนทั้งนักเขียนหรือนักวาดในเรื่อง “ภาพเขียนมรณะ” ใช่ว่าจะเข้าถึงสิ่งที่ตัวเองถ่ายทอด พวกเขาทำได้เพียงถ่ายทอดออกมาให้คนตีความเท่านั้น...



...รวมเรื่องสั้น “ตามหาชั่วชีวิต” เป็นมุมมองที่ผู้หญิงบอกความรู้สึกที่มีต่อเพศชายอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น จนบางครั้งผมเผลอคิดว่าผู้เขียนจงเกลียดจงชังผู้ชาย หรือมีอดีตอะไรบางอย่างหรือเปล่า แต่ผมก็อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ เพราะผมเชื่อในความเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้เท่าๆกัน ความแตกต่างกันระหว่างเพศนั้นผมถือว่าเป็นความได้เปรียบของแต่ละเพศขอเพียงแค่ใช้ความได้เปรียบเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์โดยไม่เบียดเบียนกันและกัน หรืออีกนัยยะหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนกำลังบอกคือเธอกำลังตามหาใครสักคนอยู่หรือเปล่า...


 - อั๋นน้อย -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น